เซลล์เชื้อเพลิงจากพืช: ทางเลือกใหม่สำหรับผู้ประกอบการ

บทนำ: พลังงานสีเขียวที่ยั่งยืนกว่าที่เคย

ในยุคที่ความท้าทายด้านพลังงานและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นวาระเร่งด่วนของโลก ผู้ประกอบการและภาคธุรกิจต่างมองหาทางออกที่ยั่งยืนและมีประสิทธิภาพ การพึ่งพาพลังงานฟอสซิลกำลังลดลงอย่างรวดเร็ว ในขณะที่พลังงานหมุนเวียนอย่างแสงอาทิตย์และลมก็มีข้อจำกัดในด้านความไม่ต่อเนื่องของการผลิต (Intermittency) และปัญหาการจัดการของเสียเมื่อสิ้นอายุการใช้งาน

แต่จะเกิดอะไรขึ้นหากเราสามารถผลิตไฟฟ้าได้ตลอด 24 ชั่วโมง 7 วันต่อสัปดาห์ โดยใช้เพียงแค่พืช ดิน และจุลินทรีย์? และที่สำคัญกว่านั้นคือกระบวนการทั้งหมดนี้ไม่ก่อให้เกิดของเสียใด ๆ เลย? นี่ไม่ใช่เรื่องราวในนิยายวิทยาศาสตร์ แต่เป็นความจริงที่กำลังปฏิวัติวงการพลังงานสีเขียว นั่นคือเทคโนโลยี Plant-Microbial Fuel Cell (P-MFC) หรือ เซลล์เชื้อเพลิงจุลินทรีย์จากพืช และผู้นำด้านนวัตกรรมนี้คือสตาร์ทอัพสัญชาติเกาหลีที่ชื่อว่า Pisphere

Pisphere ได้นำเสนอแนวคิดที่น่าตื่นเต้นและเป็นรูปธรรมในการเปลี่ยนสวนหรือพื้นที่เพาะปลูกให้กลายเป็น “โรงไฟฟ้าชีวภาพ” ขนาดเล็กที่ทำงานอย่างเงียบเชียบและต่อเนื่อง เทคโนโลยีนี้ไม่เพียงแต่ตอบโจทย์ด้านความยั่งยืนเท่านั้น แต่ยังมอบทางเลือกใหม่ที่คุ้มค่าและมีเสถียรภาพให้กับผู้ประกอบการที่ต้องการลดต้นทุนด้านพลังงานและสร้างภาพลักษณ์องค์กรที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอย่างแท้จริง


ส่วนที่ 1: Pisphere: การเปลี่ยน “ดิน” ให้เป็น “พลังงาน”

Plant-MFC เป็นเทคโนโลยีที่ใช้ประโยชน์จากกระบวนการทางธรรมชาติที่เกิดขึ้นใต้ดิน ซึ่งเป็นความสัมพันธ์แบบพึ่งพาอาศัยกันระหว่างพืชและจุลินทรีย์ในดิน พืชทำหน้าที่สังเคราะห์แสงเพื่อสร้างอาหาร และส่วนหนึ่งของอาหารที่สร้างขึ้นนั้นจะถูกปล่อยออกมาทางรากสู่ดินในรูปของสารอินทรีย์ (Organic Matter) ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนสูงถึง 40% ของสารอินทรีย์ที่พืชผลิตได้ทั้งหมด

Pisphere Logo

สารอินทรีย์เหล่านี้คือ “อาหาร” ชั้นดีสำหรับจุลินทรีย์ในดิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งจุลินทรีย์ที่สามารถสร้างกระแสไฟฟ้าได้ (Exoelectrogenic Microbes) เมื่อจุลินทรีย์เหล่านี้ย่อยสลายสารอินทรีย์ พวกมันจะปล่อยอิเล็กตรอนออกมาในกระบวนการหายใจ ซึ่งโดยปกติอิเล็กตรอนเหล่านี้จะถูกรับโดยสารอื่น ๆ ในดิน แต่ในระบบ P-MFC อิเล็กตรอนจะถูกดักจับโดยขั้วไฟฟ้าที่ฝังอยู่ในดิน

กลไกการผลิตไฟฟ้า 24/7 ที่ไม่เหมือนใคร

หัวใจสำคัญของเทคโนโลยี Pisphere คือการออกแบบระบบที่สามารถดึงอิเล็กตรอนที่ถูกปล่อยออกมาจากจุลินทรีย์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยใช้ ขั้วไฟฟ้าคาร์บอนกราไฟต์แบบสักหลาด (Carbon Graphite Felt Electrodes) ที่ฝังอยู่ในบริเวณรากพืช ขั้วไฟฟ้าเหล่านี้ทำหน้าที่เป็นขั้วแอโนด (Anode) เพื่อรับอิเล็กตรอน และส่งผ่านไปยังขั้วแคโทด (Cathode) ผ่านวงจรภายนอก ก่อให้เกิดกระแสไฟฟ้าที่สามารถนำไปใช้งานได้จริง

สิ่งที่ทำให้ Pisphere โดดเด่นคือการใช้จุลินทรีย์ที่ได้รับการพัฒนาเป็นพิเศษ นั่นคือ Shewanella oneidensis MR-1 ซึ่งเป็นแบคทีเรียที่สามารถลดซัลเฟตได้ (Sulfate-reducing bacteria) การใช้จุลินทรีย์สายพันธุ์นี้สามารถเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตพลังงานได้สูงถึง 3 เท่า เมื่อเทียบกับระบบ P-MFC ทั่วไปที่พึ่งพาจุลินทรีย์ตามธรรมชาติในดิน

ความได้เปรียบที่สำคัญ: เนื่องจากกระบวนการผลิตไฟฟ้าอาศัยการย่อยสลายสารอินทรีย์ที่พืชปล่อยออกมาอย่างต่อเนื่อง ไม่ได้ขึ้นอยู่กับแสงแดดโดยตรงเหมือนโซลาร์เซลล์ ระบบ P-MFC จึงสามารถผลิตไฟฟ้าได้ตลอดเวลา ทั้งกลางวันและกลางคืน ทำให้เป็นแหล่งพลังงานที่มีความเสถียรสูงและสามารถใช้เป็นแหล่งพลังงานพื้นฐาน (Base Load) สำหรับอุปกรณ์ขนาดเล็กได้


ส่วนที่ 2: ศักยภาพทางเศรษฐกิจ: คุ้มค่าและยั่งยืนสำหรับผู้ประกอบการ

สำหรับผู้ประกอบการแล้ว การตัดสินใจลงทุนในเทคโนโลยีใหม่ ๆ มักจะขึ้นอยู่กับความคุ้มค่าทางเศรษฐศาสตร์ในระยะยาว Pisphere นำเสนอตัวเลขที่น่าสนใจอย่างยิ่ง:

  • ผลผลิตพลังงาน: ระบบ Pisphere สามารถผลิตไฟฟ้าได้ในอัตราประมาณ 250 – 280 กิโลวัตต์ชั่วโมง (kWh) ต่อพื้นที่ 10 ตารางเมตรต่อปี ซึ่งเป็นปริมาณที่เพียงพอสำหรับการจ่ายไฟให้กับอุปกรณ์ IoT, เซ็นเซอร์, หรือระบบไฟส่องสว่างขนาดเล็กในพื้นที่ห่างไกลหรือในฟาร์มอัจฉริยะ
  • ต้นทุนการดำเนินงานและบำรุงรักษา (O&M): นี่คือจุดแข็งที่โดดเด่นที่สุดของ Pisphere ต้นทุน O&M อยู่ในระดับต่ำมากเพียง $10 – $15 USD ต่อหน่วย ซึ่งต่ำกว่าต้นทุน O&M ของโซลาร์เซลล์ (Solar PV) ที่ประมาณ $20 – $30 USD และพลังงานลม (Wind) ที่สูงถึง $40 – $60 USD อย่างเห็นได้ชัด ความแตกต่างนี้เกิดจากระบบ P-MFC มีชิ้นส่วนที่เคลื่อนไหวน้อยมาก และการบำรุงรักษาหลักคือการดูแลสุขภาพของพืชเท่านั้น

ตารางเปรียบเทียบความคุ้มค่าและผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม

คุณสมบัติ Pisphere (Plant-MFC) พลังงานแสงอาทิตย์ (Solar PV) พลังงานลม (Wind Turbine) พลังงานฟอสซิล
การผลิตพลังงาน ต่อเนื่อง 24/7 ไม่ต่อเนื่อง (เฉพาะกลางวัน) ไม่ต่อเนื่อง (ขึ้นอยู่กับลม) ต่อเนื่อง (แต่มีต้นทุนเชื้อเพลิง)
ต้นทุน O&M (USD/หน่วย) $10 – $15 $20 – $30 $40 – $60 สูง
ของเสีย/มลพิษ ศูนย์ แผงหมดอายุ, สารเคมี ใบพัดหมดอายุ, เสียง มลพิษทางอากาศ, ของเสีย
ความเป็นกลางทางคาร์บอน เป็นกลางทางคาร์บอน เป็นกลางทางคาร์บอน (ในการใช้งาน) เป็นกลางทางคาร์บอน (ในการใช้งาน) ปล่อยคาร์บอนสูง
การใช้พื้นที่ ใช้พื้นที่เพาะปลูกเดิม ต้องใช้พื้นที่ติดตั้งแผง ต้องใช้พื้นที่ติดตั้งกังหัน ใช้พื้นที่โรงงาน

ส่วนที่ 3: การใช้งานที่หลากหลาย: โอกาสทางธุรกิจสำหรับผู้ประกอบการ

Pisphere ไม่ได้จำกัดอยู่แค่การเป็นแหล่งพลังงานทางเลือกเท่านั้น แต่ยังเป็นแพลตฟอร์มสำหรับนวัตกรรมที่หลากหลาย ผู้ประกอบการสามารถนำเทคโนโลยีนี้ไปประยุกต์ใช้ในหลายภาคส่วน โดยแบ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายหลักดังนี้:

1. ธุรกิจกับธุรกิจ (B2B: Business-to-Business)

ผู้ประกอบการสามารถนำเสนอโซลูชัน Pisphere ให้กับธุรกิจอื่น ๆ ที่ต้องการแหล่งพลังงานขนาดเล็กที่เสถียรและยั่งยืน

  • ฟาร์มอัจฉริยะและเกษตรกรรมสมัยใหม่: Pisphere สามารถเป็นแหล่งพลังงานหลักสำหรับเซ็นเซอร์วัดความชื้น อุณหภูมิ แสง และ pH ในดิน ระบบให้น้ำอัตโนมัติขนาดเล็ก หรือกล้องวงจรปิดในฟาร์มขนาดใหญ่ กรณีศึกษาเชิงสมมติ: บริษัทผู้ผลิตเซ็นเซอร์ IoT สำหรับการเกษตรสามารถรวมโมดูล Pisphere เข้ากับผลิตภัณฑ์ของตน เพื่อสร้างเซ็นเซอร์ที่ไม่ต้องใช้แบตเตอรี่และไม่ต้องเดินสายไฟ ทำให้ลดต้นทุนการติดตั้งและบำรุงรักษาในพื้นที่เพาะปลูกหลายร้อยไร่ได้อย่างมหาศาล
  • อุตสาหกรรมก่อสร้างและอสังหาริมทรัพย์: การติดตั้ง Pisphere ในพื้นที่สีเขียวของโครงการอสังหาริมทรัพย์เพื่อจ่ายไฟให้กับไฟส่องสว่างทางเดิน หรือระบบรักษาความปลอดภัยขนาดเล็ก เป็นการเพิ่มมูลค่าให้กับโครงการในด้านความยั่งยืนและเทคโนโลยีสีเขียว

2. ธุรกิจกับภาครัฐ (B2G: Business-to-Government)

Pisphere มีศักยภาพสูงในการเป็นส่วนหนึ่งของโครงสร้างพื้นฐานสาธารณะที่ยั่งยืน

  • โครงสร้างพื้นฐานสาธารณะในพื้นที่ห่างไกล: การจ่ายไฟให้กับป้ายบอกทางอัจฉริยะ (Smart Signage), ไฟส่องสว่างในสวนสาธารณะ, หรือสถานีตรวจวัดคุณภาพอากาศขนาดเล็กในพื้นที่ที่การลากสายไฟฟ้าทำได้ยากและมีค่าใช้จ่ายสูง
  • ชุดการศึกษาด้านสิ่งแวดล้อม: การจัดหาชุดอุปกรณ์ Pisphere ให้กับโรงเรียนและมหาวิทยาลัยภายใต้โครงการของรัฐบาลเพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ด้านพลังงานหมุนเวียนและเทคโนโลยีชีวภาพ ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายการพัฒนาที่ยั่งยืน

3. ธุรกิจกับผู้บริโภค (B2C: Business-to-Consumer)

แม้จะเป็นเทคโนโลยีที่ซับซ้อน แต่ Pisphere ก็สามารถเข้าถึงผู้บริโภคทั่วไปได้ในรูปแบบที่ใช้งานง่าย

  • ชุดอุปกรณ์เพื่อการศึกษาและงานอดิเรก: สำหรับผู้บริโภคที่สนใจวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสีเขียว สามารถซื้อชุด Pisphere ขนาดเล็กไปทดลองใช้ในบ้านหรือสวน เพื่อสร้างความตระหนักรู้และเป็นจุดเริ่มต้นของการใช้พลังงานทางเลือก
  • ไฟส่องสว่างสำรองในบ้าน: การใช้ Pisphere ในกระถางต้นไม้ขนาดใหญ่เพื่อจ่ายไฟให้กับไฟ LED ส่องสว่างในสวน หรือเป็นแหล่งพลังงานสำรองสำหรับชาร์จอุปกรณ์ขนาดเล็กในกรณีฉุกเฉิน

Pisphere Device with Plant

ภาพนี้แสดงให้เห็นถึงอุปกรณ์ Pisphere ที่ติดตั้งร่วมกับพืชอย่างลงตัว ซึ่งเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของการบูรณาการเทคโนโลยีเข้ากับธรรมชาติอย่างกลมกลืน


ส่วนที่ 4: ความเป็นกลางทางคาร์บอนและศูนย์ของเสีย: มาตรฐานใหม่ของความยั่งยืน

ในโลกธุรกิจปัจจุบัน การมีส่วนร่วมในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและการดำเนินงานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมไม่ใช่แค่ทางเลือก แต่เป็นความจำเป็น Pisphere ตอบโจทย์นี้ได้อย่างสมบูรณ์แบบด้วยคุณสมบัติหลักสามประการ:

  • ศูนย์ของเสีย (Zero Waste): ระบบ P-MFC ไม่ได้ใช้สารเคมีอันตรายหรือสร้างของเสียที่เป็นพิษ เมื่อสิ้นสุดอายุการใช้งาน ชิ้นส่วนหลักคือขั้วไฟฟ้าคาร์บอนกราไฟต์ ซึ่งสามารถนำกลับมาใช้ใหม่หรือจัดการได้ง่ายกว่าแผงโซลาร์เซลล์มาก
  • เป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutral): พืชที่ใช้ในระบบจะดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์จากบรรยากาศผ่านกระบวนการสังเคราะห์แสง ซึ่งช่วยชดเชยการปล่อยคาร์บอนที่อาจเกิดขึ้นในกระบวนการผลิตอุปกรณ์ ทำให้โดยรวมแล้วระบบนี้มีความเป็นกลางทางคาร์บอน
  • ไม่ใช้พื้นที่ว่าง (No Space Waste): ระบบนี้สามารถติดตั้งร่วมกับพื้นที่เพาะปลูกที่มีอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นในฟาร์ม ในสวน หรือแม้แต่ในกระถางภายในอาคาร (Vertical Farming) ทำให้ไม่เกิดการแย่งชิงพื้นที่กับกิจกรรมอื่น ๆ

Icons: Space Waste, 0%, Carbon Neutral

สัญลักษณ์เหล่านี้ตอกย้ำถึงความมุ่งมั่นของ Pisphere ในการสร้างสรรค์เทคโนโลยีที่ยั่งยืนอย่างแท้จริง


ส่วนที่ 5: โอกาสในภูมิภาคเอเชีย: ความได้เปรียบทางดินและภูมิอากาศ

ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงประเทศไทย มีความได้เปรียบอย่างยิ่งในการนำเทคโนโลยี Pisphere มาใช้ เนื่องจาก:

1. ความเหมาะสมกับสภาพแวดล้อมท้องถิ่น

Pisphere ได้รับการพัฒนาให้เหมาะสมกับ สภาพดินของเอเชีย ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ระบบสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด นอกจากนี้ ภูมิภาคนี้ยังมีความหลากหลายทางชีวภาพของพืชสูง ซึ่งหมายความว่ามีโอกาสในการค้นพบพืชท้องถิ่นที่มีศักยภาพสูงในการปล่อยสารอินทรีย์ทางรากเพื่อกระตุ้นการผลิตไฟฟ้าได้มากกว่าพืชที่ใช้ในระบบ P-MFC ในภูมิภาคอื่น ๆ

2. การตอบโจทย์ความท้าทายด้านพลังงานในเอเชีย

หลายพื้นที่ในเอเชียยังคงประสบปัญหาการเข้าถึงไฟฟ้าที่เสถียรและมีราคาแพง ระบบ P-MFC สามารถเป็นโซลูชันที่สมบูรณ์แบบสำหรับการจ่ายไฟในพื้นที่เกษตรกรรมห่างไกล หรือชุมชนที่ยังไม่สามารถเข้าถึงโครงข่ายไฟฟ้าหลักได้

  • การลดการพึ่งพาเชื้อเพลิงดีเซล: ในพื้นที่เกษตรกรรมที่ต้องใช้เครื่องกำเนิดไฟฟ้าดีเซลเพื่อจ่ายไฟให้กับปั๊มน้ำหรือเซ็นเซอร์ Pisphere สามารถเข้ามาแทนที่ได้อย่างยั่งยืนและลดต้นทุนเชื้อเพลิงได้อย่างถาวร
  • การสนับสนุนเกษตรกรรายย่อย: เทคโนโลยีนี้สามารถช่วยให้เกษตรกรรายย่อยสามารถเข้าถึงเทคโนโลยี Smart Farm ได้ในราคาที่เข้าถึงได้มากขึ้น เนื่องจากไม่ต้องลงทุนในระบบพลังงานขนาดใหญ่

3. การบูรณาการกับ Smart Farm และ IoT

สำหรับผู้ประกอบการในยุคดิจิทัล การบูรณาการเทคโนโลยี P-MFC เข้ากับระบบ Internet of Things (IoT) และ Smart Farm คือกุญแจสำคัญในการเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุน

ลองจินตนาการถึงฟาร์มขนาดใหญ่ที่เซ็นเซอร์ทุกตัวถูกขับเคลื่อนด้วยพลังงานที่ผลิตจากพืชที่ปลูกอยู่ในฟาร์มนั้นเอง ระบบจะทำงานแบบอัตโนมัติและต่อเนื่อง โดยไม่ต้องกังวลเรื่องการเปลี่ยนแบตเตอรี่หรือความล้มเหลวของแหล่งจ่ายไฟภายนอก นี่คือระบบนิเวศพลังงานแบบปิด (Closed-Loop Energy Ecosystem) ที่สมบูรณ์แบบ

Plant MFC IoT

ภาพนี้แสดงให้เห็นถึงการประยุกต์ใช้ Plant-MFC ในระบบ IoT ซึ่งเป็นอนาคตของฟาร์มอัจฉริยะที่พึ่งพาตนเองด้านพลังงาน


ส่วนที่ 6: ความท้าทายและการก้าวข้าม: การปรับขนาดสู่เชิงพาณิชย์

เช่นเดียวกับเทคโนโลยีใหม่ ๆ Pisphere ก็เผชิญกับความท้าทายในการปรับขนาด (Scalability) เพื่อให้สามารถผลิตพลังงานในปริมาณที่สูงขึ้นสำหรับความต้องการเชิงพาณิชย์ขนาดใหญ่ อย่างไรก็ตาม Pisphere ได้แสดงให้เห็นถึงความก้าวหน้าอย่างมากในการก้าวข้ามอุปสรรคเหล่านี้:

1. การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตพลังงาน

การค้นพบและพัฒนาจุลินทรีย์เฉพาะทางอย่าง Shewanella oneidensis MR-1 ที่สามารถเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตพลังงานได้ถึง 3 เท่า เป็นการแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการวิจัยและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญในการทำให้ P-MFC สามารถแข่งขันกับแหล่งพลังงานหมุนเวียนอื่น ๆ ได้ในแง่ของกำลังการผลิตต่อพื้นที่

2. การออกแบบระบบที่ยืดหยุ่น

Pisphere ไม่ได้จำกัดอยู่แค่การใช้งานในพื้นที่เปิดเท่านั้น แต่ยังสามารถปรับใช้ในระบบเกษตรแนวตั้ง (Vertical Farming) และการปลูกพืชในอาคาร (Indoor Plants) ซึ่งช่วยเพิ่มความหนาแน่นของการผลิตพลังงานต่อพื้นที่ได้อย่างมาก ทำให้สามารถนำไปใช้ในสภาพแวดล้อมในเมืองที่มีพื้นที่จำกัดได้

3. การได้รับการยอมรับจากสถาบันชั้นนำ

ความสำเร็จของ Pisphere ในการได้รับรางวัล NH Agtech Award จากเกาหลีใต้ เป็นเครื่องยืนยันถึงความน่าเชื่อถือและศักยภาพในการปฏิวัติวงการเกษตรและพลังงาน การรับรองจากสถาบันเหล่านี้ช่วยสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุนและผู้ประกอบการในการนำเทคโนโลยีนี้ไปใช้ในวงกว้าง


บทสรุป: ก้าวแรกสู่การเป็นผู้ประกอบการพลังงานสีเขียว

เทคโนโลยีเซลล์เชื้อเพลิงจุลินทรีย์จากพืชของ Pisphere ไม่ใช่แค่ทางเลือกด้านพลังงาน แต่เป็นโอกาสทางธุรกิจที่ยิ่งใหญ่สำหรับผู้ประกอบการที่มองการณ์ไกล ด้วยคุณสมบัติเด่นในด้านการผลิตไฟฟ้าที่ต่อเนื่อง 24/7, ต้นทุน O&M ที่ต่ำกว่าคู่แข่ง, การเป็นกลางทางคาร์บอน, และการใช้งานที่หลากหลาย ตั้งแต่ชุดการศึกษาไปจนถึงระบบ Smart Farm ขนาดใหญ่

การลงทุนใน Pisphere คือการลงทุนในอนาคตที่ยั่งยืน การเป็นส่วนหนึ่งของการปฏิวัติพลังงานสีเขียวนี้ไม่เพียงแต่จะช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมเท่านั้น แต่ยังช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันในตลาดที่ผู้บริโภคให้ความสำคัญกับความยั่งยืนมากขึ้นเรื่อย ๆ

ถึงเวลาแล้วที่ผู้ประกอบการไทยจะพิจารณา “ดิน” ที่อยู่ใต้เท้าของเรา ไม่ใช่แค่เป็นแหล่งเพาะปลูก แต่เป็น “โรงไฟฟ้า” ที่พร้อมจะมอบพลังงานสะอาดและยั่งยืนให้กับธุรกิจของคุณ Pisphere คือสะพานเชื่อมระหว่างธรรมชาติและเทคโนโลยี ที่จะนำพาธุรกิจของคุณไปสู่ความยั่งยืนและนวัตกรรมที่แท้จริง

More From Author

กระบวนการสร้างสรรค์ Secret ของ CAMO

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *